เก๊กไว้ก่อนย่าสอนไว้
"คุณย่าพูดเอาไว้ว่า แม้จะเป็นเด็กก็ยังต้องเก๊กเข้าไว้ มันช่วยไม่ได้นี่ ก็ชั้นมันเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาให้กับโลกใบนี้นี่นา"
ผู้เข้าชมรวม
248
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ดวงตะวันสาดแสง ฟ้าสีครามไร้ซึ่งเมฆหมอก อากาศในวันนี้นับว่าสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆในรอบเดือน อาจบางทีเป็นเพราะไต้ฟ้าผืนนี้มีใครบางคนอยู่
คนที่ไม่เหมือนใคร คนที่เกิดมาเพื่อยืนอยู่ไต้ฟ้าคราม
เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินอยู่บนฟุตบาทข้างถนน ดูไปแม้จะเห็นเป็นแค่เด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบธรรมดา แต่หากมองดูให้ดีๆ กลับไม่คล้ายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาตามอายุสักเท่าไร
เธออยู่ในชุดสีขาวสลับฟ้า สวมหมวกปีกมีลวดลายดอกไม้ บนตัวหมวกยังประดับไว้ด้วยลูกท้อผ้าอีกลูกหนึ่ง
บนใบหน้าที่กลมเกลี้ยงไร้ริ้วรอยของเธอไม่มีแววซุนซนของเด็กน้อย กลับมีท่าทีสงบสำรวมเช่นเดียวกับผู้ใหญ่เจนโลก ใบมือก็ไม่ได้ถือตุ๊กตาดังเช่นเด็กหญิงทั่วไป แต่กลับถือถุงใส่น้ำเต้าหู้เพื่อสุขภาพแทน ดูๆไปกลับมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่ซะยิ่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปซะอีก
เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เหมือนเด็กธรรมดา เพราะว่าเธอไม่ใช่เด็กธรรมดาที่หาได้ตามร้านเซเว่น แต่เป็นเด็กที่สวรรค์ประทานลงมายังโลกมนุษย์
แม้บนถนนจะมีเงามืด แต่เธอจะเดินกลางแสงสว่างเสมอ หรือต่อให้บนเส้นทางจะไร้แสงไฟ เธอก็จะเปล่งแสงสว่างเช่นดวงตะวัน
นั่นล่ะคือตัวเธอ เธอผู้ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
ตอนที่เธอเดินมาถึงที่นี่ เป็นเวลาแปดโมงเช้า เป็นยามเช้าที่แสนสดชื่น
ในยามเช้าที่สดชื่นเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาอันแสนเหมาะสมกับรวมกลุ่มกันไปเล่นของเด็กๆทั่วไป แน่นอนว่าเด็กๆทั่วไปนั้นไม่นับรวมถึงตัวเธอ
นั่นเพราะเธอนั้นไม่ธรรมดา และไม่คิดจะทำอะไรตามตรรกกะของคนธรรมดา
แต่ในช่วงเวลาอันแสนสดใสนี้ เธอผู้ไม่ธรรมดา ก็กลับต้องถูกลากเข้าไปยุ่งกับพวกคนธรรมดาจนได้
"เฮ้ !! เด็กหมวกตรงนั้นน่ะ ระวังบอล !!"
เสียงร้องตะโกนของใครบางคนแว่วมา พร้อมกับบอลลูกหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศมาพร้อมๆกัน ต้นเสียงมาจากทุ่งโล่งข้างทาง ลูกบอลก็มีจากเจ้าของเสียงนั่นเอง
ลูกบอลพุ่งมาจากข้างหลัง บอลเป็นบอลยางราคาถูก อาจบางทีไม่เร็วไม่แรงมากนัก แต่ก็เพียงพอจะให้เด็กคนหนึ่งโดนซัดจนล้มกลิ้งได้เหลือเฟือ
หากเป็นเด็กทั่วๆไป อาจบางทีจะตาตีตาเหลือรีบหลบอย่างลนลาน อาจบางทีจะยืนตกใจจนโดนบอลอัดร้องไห้จ้า แต่กับเธอแล้วย่อมผิดกัน
เธอไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่ได้รีบร้อนตื่นตกใจ แม้กระทั่งหากตายังไม่กระตุก เพียงแค่นับเลขพึมพัมอยู่ในลำคอนิดเดียวเท่านั้น
เธอนับหนึ่ง สอง สาม จับจังหวะที่ลูกบอลจะพุ่งมาถึง จากนั้นก็เตะกลับหลังอย่างว่องไว เสียงตูมดังขึ้นรอบหนึ่งลูกบอลที่ถูกเตะใส่อย่างเต็มเหนี่ยวก็ลอยละลิ่วย้อนกลับไปในทิศทางเดิม จากนั้นเป็นเสียงโครม เมื่อลูกบอลที่ควรจะกลับไปหาเจ้าของกลับลอยละลิ่วเลยไปจนพุ่งทะลุกระจกเข้าไปในบ้านร้างที่ด้านหลังแทน
"อ๊าาาา !! บอลของเค้า !!"
เจ้าของเสียงที่เคยร้องเตือนเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างโหยหวนด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกบอลของตัวเองหายจ้อยไปต่อหน้าต่อตา
"ทำอะไรของเธอน่ะ บอลของเค้าหายไปแล้วเห็นมั้ย !?"
เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับกับเธอปราดเข้ามาโวยวายใส่ด้วยความขุ่นเคือง จนกระทั่งเพื่อนคนอื่นต้องเข้ามาห้ามไว้เพราะจริงๆแล้วเธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิดเพราะดันเตะบอลซี้ซั้วไปใส่ชาวบ้าน ซึ่งหากพูดกันตามตรงแล้วคนที่สมควรจะต้องโดนว่านั้นน่าจะเป็นเธอเองซะมากกว่า
เด็กหญิงหมวกลูกท้อมองไปทางบ้านร้าง พูดเสียงเรียบๆว่า
"บอลมันก็แค่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเท่านั้นเอง"
เด็กหัวโจกจอมอาละวาดโวยวายขึ้นมาอีกว่า
"หายเข้าไปในบ้านนั่นก็เท่ากับหายไปแล้วนั่นแหละ เธอไม่รู้จักเรื่องเล่าของบ้านนี้รึไงกัน"
"ไม่รู้"
ฟ้าตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ยังคงเป็นการพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ต่างกับฝ่ายตรงข้ามที่โกรธจนหน้าเปลี่ยนสี
"บ้านหลังนั้นน่ะเป็นบ้านร้างผีสิงนะ เขาเล่ากันว่าเคยมีคนหลายคนทำของหายเข้าไปข้างใน แล้วพอเข้าไปในบ้านร้างนั่นทั้งคนทั้งของก็ไม่มีอะไรได้กลับออกมาเลย เขาว่ากันว่าทุกคนโดนผีพาไปซ่อนกันหมด แบบนี้แล้วยังจะให้เข้าไปเอาบอลกลับมาอีกรึไง !!?"
เด็กหญิงหมวกลูกท้อยังตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำดังเดิมว่า "ใช่"
"อย่ามาล้อเล่นนะ คิดจะให้เค้าโดนผีลักซ่อนไปอีกคนนึงรึไง !!?"
"คุณย่าพูดเอาไว้ว่า ในโลกนี้ไม่มีผีที่ทำร้ายคน มีแต่คนที่ทำร้ายคน"
เด็กหัวโจกกระโดดปราดขึ้น ร้องว่า
"เพราะเธอไม่เคยเจอผีน่ะสิถึงพูดได้ ถ้าลองได้เจอซักครั้งรับรองต้องกลัวจนวิ่งหนีแน่ๆ"
"ชั้นไม่จำเป็นต้องกลัวของที่ไม่เคยเห็น"
เด็กหัวโจกยิ่งเห็นท่าทีไม่ยี่หระเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น ชี้หน้าถามว่า
"เห็นทำท่าทางวางโตมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน !!?"
เด็กหญิงหมวกลูกท้อชี้นิ้วขึ้นฟ้า กล่าวช้าๆว่า
"ฟ้าครามที่โอบล้อมโลกนี้ไว้ทั้งใบ นั่นล่ะคือชื่อของชั้น !"
-------------------- =_= --------------------
ชื่อของเธอก็คือฟ้า เป็นฟ้าครามที่ไร้เมฆดำ เป็นฟ้าครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ในโลกนี้มีคนมากมายหลายขนิด ทั้งสูงต่ำดำขาว โง่เขลาและชาญฉลาด แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเช่นไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาๆที่หาได้ทั่วไปตามท้องถนน หาได้มากมาย และง่ายดายดั่งกรวดทรายตามริมทาง
แต่คนชนิดเดียวกับฟ้า รับรองว่าหาได้ไม่ง่ายนัก
หากชนิดของผู้คนแบ่งได้เป็นสีต่างๆ รับรองว่าสีของเธอจะแปลกประหลาดยิ่งกว่าใครๆ หากมีคนถามว่านั่นเป็นสีอะไร รับรองว่าคิดกันจนหัวแทบแตกก็คงหาคำตอบไม่ได้
เพราะสีของเธอนั้นไม่เหมือนกับสีของใครเลย
"คุณย่าพูดเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดคือช้าง สิ่งมีชีวิตที่องอาจที่สุดคือราชสีห์ ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหลือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็คือชั้นคนนี้นี่แหละ"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น จนตอนนี้เด็กหัวโจกเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าไม่ว่าตัวอะไรจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมั่นในตัวเองที่สุดล่ะก็รับรองว่าต้องเป็นคนข้างหน้านี้ไม่ผิดแน่
คนที่เชื่อมั่นในตัวเองได้ถึงระดับนี้มีอยู่สองประเภท ถ้าไม่ใช่ยอดคน ก็คงแค่คนบ้าธรรมดา
แต่เธอคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นประเภทหลังมากกว่า
"เธอจะบอกว่าตัวเองขนะได้แม้แต่ผีรึไง ?"
"ถ้าโลกนี้มีผีจริง ชั้นก็จะอยู่เหนือกว่ามัน"
"ถ้างั้นก็พิสูจน์สิ ถ้าเธอเจ๋งกว่าผีจริง ก็ต้องเข้าไปเอาบบอลกลับมาได้ ถ้าทำได้จริงๆเค้าจะเลิกโกรธแล้วนับเธอเป็นเพื่อนเลยก็ได้เอ้า"
ฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
"การจะเป็นเพื่อนกันได้นั้นหมายถึงจะต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นชั้นก็คงหาเพื่อนไม่ได้หรอก เพราะว่าในโลกนี้คงไม่มีใครอยู่ในระดับเดียวกับชั้นอีกแล้ว"
"แล้วก็แน่นอนว่าชั้นเองก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่เธอท้าด้วยเหมือนกัน"
เด็กหัวโจกถูกดูถูกกันซึ่งๆหน้าก็ตั้งท่าจะโวยวายเต็มที่ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร ฟ้าก็ชิงตัดบทขึ้นมาก่อนว่า
"แต่คุณย่าเคยพูดเอาไว้ว่าแสงตะวันย่อมสาดส่องไปยังทุกๆคนโดยเท่าเทียมกัน เพราะงั้นถ้าเธอกำลังลำบากเพราะของสำคัญถูกชั้นทำให้หายไปล่ะก็ ชั้นจะช่วยเอากลับคืนมาให้ก็ได้"
-------------------- =_= --------------------
แม้ท้องฟ้าด้านนอกจะสดใส แต่ข้างในนี้กลับมืดครึ้มไม่ต่างกับกลางคืน บนพื้นทางเดินเต็มไปด้วยฝุ่นผงและเศษไม้ บนเพดานก็เต็มไปด้วยหยากไย่และแมงมุม บรรยากาศที่มืดทะมึนและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้หากว่าจะมีผีโผล่ออกมาก็คงไม่แปลกซักเท่าไร
แต่สิ่งที่ฟ้าเป็นกังวลในเวลานี้ไม่ใช่ของแบบนั้น
ในบ้านร้างที่ไม่มีผู้คนมากล้ำกรายเป็นแรมปี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด เป็นภัยร้ายอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เธอเดินอย่างเชื่องช้า ทีละก้าว ทีละก้าว เธอรู้ดีว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ผี แต่เป็นเศษไม้เศษตะปูตามพื้น และสัตว์มีพิษที่อาจจะโผล่ออกมาได้ทุกเวลา
ตะปูขึ้นสนิมที่โผล่มาจากพื้น แมงป่องตะขาบ หรือแม้แต่งูที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ อาจจะพุ่งเข้าทำร้ายได้ทุกเวลาหากเผลอไปเหยียบพวกมันเข้า แต่ละก้าวที่เดินไปหากไม่ระวังก็อาจถึงชีวิตได้โดยง่าย สำหรับความรู้เรื่องพวกนี้ คุณย่าได้พร่ำสอนเธอมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ฟ้าเชื่อในคำสั่งสอนของคุณย่าเสมอ ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้านั้นเป็นขุมพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ หากคิดจะยืนอยู่เหนือใครๆแล้วแค่เพียงความสามารถที่ได้รับมาจากท้องแม่ยังไม่เพียงพอ ยังจะต้องมีพลังขับเคลื่อนเช่นนี้อยู่ด้วย
คนที่มีความเชื่อมั่นย่อมเข้มแข็งกว่าใคร นั่นเป็นหนึ่งในคำสั่งสอนของคุณย่า และเป็นหนึ่งในสัจธรรมอันเที่ยงแท้นับแต่ครั้งโบราณกาล
อากาศในนี้ไม่สู้ดีนัก นอกจากกลิ่นของไม้ที่ขึ้นราแล้ว ในอากาศยังคล้ายมีบรรยากาศอันชั่วร้ายแอบแฝงอยู่
เธอรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้ด้วยสัญชาติญาณว่านั่นไม่ใช่ภูตผี แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อันตราย และน่าสะพรึงกลัว
บอลกะแทกหน้าต่างเข้าไปบนชั้นสอง ระหว่างที่ขึ้นบันไดไป เธอก็พบความความรู้สึกไม่ดีนั้นยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง
อาจบางทีต้นตอของสิ่งชั่วร้ายนั้น อาจจะอยู่ที่เดียวกับกับของที่เธอต้องการ
แล้วเด็กน้อยตัวเล็กๆคนหนึ่งจะเอาตัวรอดออกไปได้โดยปลอดภัยหรือ ?
สัญชาติญาณของเธอบอกถึงอันตราย สมองของเธอก็เข้าใจได้ว่าหากจะออกไปโดยปลอดภัยแล้ว รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้นับว่าดีที่สุด
แต่ขาของเธอก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า บางสิ่งบางอย่างผลักดันให้เธอไม่อาจถอยหนี
บางสิ่งบางอย่างที่แสนสำคัญ
ที่ชั้นสองมีห้องอยู่ไม่น้อย บานประตูและกลอนของห้องส่วนใหญ่พังไปแล้ว ดังนั้นเมื่อลมพัดมาทีหนึ่งประตูแต่ละบานก็ขยับไปมา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจนฟังดูน่าขนลุก
ท่ามกลางเสียงอันไม่พึงประสงค์นั้น มีหมอกจางๆสายหนึ่งลอยออกมาจากด้านในห้อง หมอกควันนั้นเองคือที่มาของกลิ่นประหลาดที่เธอรู้สึกได้มาตั้งแแต่เมื่อครู่
เธอไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นจนต้องเสี่ยงอันตราย เธอชาญฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำอันไร้หัวคิดแบบนั้น แต่ช่างน่าเศร้าที่เธอพบว่าแม้จะไม่ต้องการ แต่ก็ยังคงต้องเผชิญหน้ากับต้นตอของควันประหลาดนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
นั่นเพราะว่าลูกบอลที่เธอตามหา มันดันเข้าไปอยู่ในห้องนั้นซะได้
บานประตูที่เปิดแง้มออกเพราะชำรุดเสียหาย เผยให้เห็นลูกบอลยางที่นิ่งสงบอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง รอคอยให้เธอมานำมันออกไป
เด็กน้อยข่มใจให้เข็มแข็ง ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปตามช่องประตูที่เปิดอยู่ ด้วยความเชื่องช้าอย่างที่สุด และระมัดระวังอย่างที่สุด เผื่อว่าอย่างน้อยหากว่าในห้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริง ความเงียบนี้ก็อาจจะช่วยอำพรางตัวเธอจากสิ่งนั้นได้บ้าง
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่อาจสมหวัง
ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าไปด้านใน "มัน" ก็พบเห็นเธอ
"มัน" นั่งอยู่ตรงข้างบานกระจกที่แตกออกเพราะลูกบอล นั่งอยู่ตรงมุมที่ไม่ถูกแสงแดด คล้ายกับชิงชังรังเกียจแสงสว่างมาตั้งแต่เกิด
ร่างของมันซีดขาว ผอมซูบและเหี่ยวแห้ง หนวดเครารุงรัง สวมเสื้อผ้าที่สกปรกและขาดวิ่น
ในมือที่แห้งกรังและสั่นเทาของมันมีวัตถุรูปทรงกระบอกที่กำลังพ่นควันสีขาวจางๆออกมาอย่างต่อเนื่อง กลิ่นที่โชยออกมาชวนให้เธอเวียนหัวตาลายเล็กน้อย นี่เองเป็นตัวตนที่แท้จริงของความรู้สึกอันตรายที่เธอสัมผัสได้มาตั้งแต่เมื่อครู่
มันเอากระบอกพ่นควันออกจากปาก แล้วใช้ดวงตาที่ดำคล้ำและเลื่อนลอยจับจ้องมาที่เธออย่างไม่ประสงค์ดี
"แกเป็นใครวะไอ้หนู ?"
เสียงที่แหบแห้งของมันกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเมื่อมันเห็นลูกบอลในมือของเด็กน้อยก็ตวาดว่า
"หรือแกคิดจะมาแย่งสมบัติของข้า !!?"
"นั่นมันดวงดาวจำลองที่เทพเจ้ามังกรให้ข้ามานะโว้ย บังอาจจะมาแย่งมันไปจากข้าเรอะไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม !!"
ฟ้ามองลูกบอลในมือ มองแล้วมองอีกจนตาแทบถลนก็ยังเห็นมันเป็นแค่บอลยางธรรมดา นี่มันเป็นดวงดาวจำลองตรงไหนกันหนอ ?
หรือว่าคนๆนี้พี้ยาจนเสียสติไปเสียแล้ว ?
เธอรู้วิธีรับมือกับคนหลากหลายประเภท แต่ไม่รู้วิธีรับมือกับคนเสียสติ
คนเสียสติสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่อาจคาดเดา ไม่อยู่ในกรอบเหตุผลและสามัญสำนึกของคนธรรมดา ที่สำคัญคนชนิดนี้สามารถอ้างเหตุผลที่จะทำร้ายผู้อื่นได้ทุกเมื่อเหมือนกับหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก หากจะกล่าวว่าเป็นคนชนิดที่อันตรายที่สุดก็คงจะไม่ผิดเท่าไหร่นัก
อาจบางทีนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆก็ได้
คนติดยานั้นกระโดดปราดขึ้นมา แต่คงเป็นเพราะนั่งอยู่นานเกินไปทำให้ขาอ่อนจนตัวเซ แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าอันตรายอยู่ดี
เธอในตอนนี้ไม่มีทั้งอาวุธ และพละกำลังพอที่จะต่อกรกับศัตรูเบื้องหน้า ในสถานการณ์ที่คับขันอันตรายเช่นนี้หากเป็นในสนามรบ ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่จะมีวิธีเอาตัวรอดได้อย่างไร
ซุนหวู่ผู้เลื่องชื่อในด้านการทำสงครามได้เขียนตำรากลยุทธ์ทั้ง 36 ที่ใช้พิชิตทุกสถานการณ์เอาไว้ในตำรา เธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ควรจะเลือกใช้กลยุทธ์ใด
เธอเลือกที่จะใช้กลยุทธ์สุดท้าย กลยุทธ์ 36
"หันหลัง ตั้งหน้าวิ่ง"
แม้พละกำลังในการต่อสู้จะมีน้อย แต่พละกำลังในกาลเผ่นหนีของเธอนั้นมีเหลือเฟือ ฟ้าวิ่งปราดออกจากห้องโดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็พุ่งย้อนไปในทิศเดียวกับขามา ยังไงตอนนี้ก็หนีออกไปข้างนอกก่อน แล้วมีอะไรก็ค่อยว่ากันไหม่ทีหลัง
"จะหนีไปไหนไอ้เด็กบ้า !!"
เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งไล่หลังมาอย่างกระชั้น แม้จะผอมซูบบักโกรกแต่คนติดยาก็ยังไล่ตามเธอมาได้อย่างไม่ยากเย็น ช่วงขาที่ต่างกันทำให้เธอหมดทางหนี และตามมาด้วยเสียงโครมเมื่อกลางหลังของเธอถูกส้นเท้ากระแทกจนต้องล้มกลิ้งไปกับพื้น
ฟ้ากลิ้งไปกระแทกใส่ลังกระดาษ นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ลังกระดาษช่วยซับแรงกระแทกทำให้เธอไม่บาดเจ็บเท่าไรนัก แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่เธออยู่ในภาวะคับขันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
"หรือว่าสวรรค์จะทอดทิ้งชั้นซะแล้ว"
เธอบ่นพึมพัมออกมาด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง
"หมดท่าแล้วสิเจ้าเปี๊ยก"
คนติดยาแสยะยิ้มพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาทีละน้อย
"อย่าเข้ามานะ เห็นไอ้นี่รึเปล่า !!?"
ฟ้าหยิบท่อนไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมากวัดแกว่ง ร้องเสียงดุดัน
"นี่คือดาบแสงศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่นักรบอวกาศใช้ปราบดาร์ธลอร์ดมาแล้วนะ อย่างแกน่ะโดนฟันทีเดียวก็ไปเกิดใหม่แล้ว !!"
เธอไม่ได้กลัวจนเสียสติ แต่เธอคิดว่าถ้าคนข้างหน้าพี้ยาจนเห็นภาพหลอนไปจริงๆ บางทีอาจจะบ้าเชื่อเรื่องที่เธอพูดก็ได้ แม้เปอร์เซนจะน้อยแต่ก็เป็นหนทางเดียวที่พอจะทำให้รอดได้ในตอนนี้
นี่เป็นการพนันครั้งใหญ่ที่มีชีวิตของตัวเธอเองเป็นเดิมพัน
ชายติดยาผงะไปเล็กน้อย ดูท่าว่าความคิดของเธอจะได้ผล แต่ทว่ายังไม่ทันที่ฟ้าจะได้ดีใจ ชายติดยาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วบอกว่า
"อย่าลำพองไปเลยไอ้หนู ข้ามีร่างไร้เทียมทานที่ได้รับมาจากพรของเทพเจ้าอยู่นะ ของแบบนั้นฟันข้าไม่เข้าหรอกโว้ย !!"
นั่นเป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง ดังคำที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า สูงกว่าดารายังมีดาวเทียม ระดับความบ้าของคนๆนี้เหนือกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ เธอไม่มีอะไรจะใช้สู้อีกแล้ว
"อย่านะ... อย่าเข้ามานะ !!"
ฟ้าหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว สองมือตวัดท่อนไม้ไปมาเหมือนคนจมน้ำที่พยายามตะเกียกตะกายหาที่ยึดจับอย่างสุดกำลัง แม้ว่าจะไร้ประโยชน์ก็ตาม
ชายติดยาไม่สนใจทั้งท่อนไม้ทั้งเสียงร้องของเธอ มันเงื้อมือออกแล้วกระโจนเข้าหาเธออย่างดุร้าย
"ไม่เอา หนูไม่อยากตาย คุณย่าช่วยด้วย !!!"
ในตอนนั้นไม่ทราบเป็นเพราะเสียงเธอส่งไปถึงคุณย่า หรือว่าเป็นเพราะเธอไม่ถึงที่กันแน่ จู่ๆปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ลูกบอลที่เธอทำหลุดมือตอนล้มลงกลิ้งไปอยู่ที่หน้าคนติดยาพอดี และตัวมันที่มองแต่ด้านหน้าจนไม่ทันระวังก็เหยียบลูกบอลจนเสียหลักล้มลง หัวกระแทกก้อนอิฐที่วางทิ้งอยู่บนพื้นเข้าอย่างจังดังโครม
คนติดยากุมหัวกลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลซิบๆออกมาตามง่ามมือ บ่งบอกว่ามันนั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ฟ้าเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป เธอพุ่งปราดเข้าหามันพร้อมท่อนไม้ในมือ จากนั้นก็กระหน่ำฟาดลงไปที่หัวของชายติดยาอย่างไม่ปราณี
ชายติดยาที่ถูกทำร้ายนั้นโดนฟาดไปพลางก็ถอยหลังหนีไปพลาง หากเป็นปกติมันคงไม่กลัวกับอีแค่โดนเด็กเอาไม้ฟาด แต่เมื่อรวมกับบาดแผลที่หัวแล้วความเจ็บปวดนี้ก็นับว่าไม่น้อยเลย มันเองก็ไม่อยากจะหนีเด็ก แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่เห็นคนข้างหน้าเป็นเด็กตัวเล็ก แต่ดันมองเห็นเป็นอัศวินในชุดผ้าคลุมถือดาบเลเซอร์ไปซะได้
"ไอ้เด็กบ้านี่ อย่าได้ใจให้มันมานักนะเว้ย !!"
มันตวาดพร้อมทั้งเงื้อหมัดขึ้น กะว่าจะต่อยสวนเด็กน้อยให้ตายกันไปข้าง แต่น่าเสียดายที่เด็กน้อยในตอนนี้ไม่มีความกลัวอยู่ในจิตใจอีกแล้ว
เด็กน้อยหลับหมัดที่ตุปัดตุเป๋ของมันพร้อมกับถอยไปข้างหลัง แล้วก็นับก้าวการถอยของตัวเองไปด้วย
พอนับถึงสาม เธอก็เอาท่อนไม้ขว้างใส่หน้ามันจนเสียหลัก จากนั้นก็หลบฉากไปด้านข้าง
ด้านหน้าของคนติดยาในตอนนี้ไม่ใช่ทางโลก แต่เป็นบันไดลงไปชั้นล่าง ตัวมันที่พุ่งมาเต็มที่แม้จะหยุดเท้าได้พอดิบพอดี แต่ก็ยืนอยู่แบบไม่มั่นคงที่สุดปลายทางพอดี เรียกได้ว่าหากโดนสะกิดซักนิดในตอนนี้คงได้กลิ้งตกบันไดสลบแน่ๆ
ฟ้าไม่ได้สะกิดด้วยมือ แต่สะกิดด้วยเท้า
เธอหมุนตัวรอบหนึ่งแล้วกระโดดเตะเข้าที่ก้านคอของคนติดยาอย่างแม่นยำ แรงเตะของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม้จะไม่แรงนัก แต่สำหรับตอนนี้ เพียงเท่านี้ก็เกินพอ
ฟ้ามองดูคนติดยาที่กลิ้งลงบันไดไปนอนแน่นิ่ง เธอชี้นิ้วขึ้นฟ้า ก่อนจะเอ่ยคำพูดประจำตัวออกมาอย่างผู้มีชัย
"คุณย่าพูดเอาไว้ว่าในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่เหนือสรรพสิ่งเหล่านั้นก็คือชั้นคนนี้นี่แหละ !"
-------------------- =_= --------------------
ตอนที่ลูกบอลลอยออกมาจากชั้นสองของบ้านร้างนั้น เด็กๆข้างนอกต่างก็แตกตื่นและยินดีกันยกใหญ่ แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าจะรอไปอีกนานขนาดไหนก็ยังไม่เห็นว่าเด็กอวดดีคนนั้นจะกลับออกมาเลย
ทุกคนพูดกันไปต่างๆนาๆ ถึงกับมีบางคนบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นเทพเจ้าที่จุติลงมาในโลกมนุษย์ แล้วตอนนี้ก็ได้บินกลับไปแล้ว
ไม่ว่าใครจะพูดกันยังไง แต่ความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว
ความจริงนั้นก็คือฟ้ายังไม่ได้ไปไหน แต่แอบอยู่ในบ้านหลังนั้น
ข้างนอกตอนนี้มีคนมากเกินไป เธอไม่สามารถออกไปให้ทุกคนเห็นสารรูปในตอนนี้ได้ ถ้าจะออกไปยังไงก็ต้องรอให้เด็กพวกนั้นไปกันให้หมดซะก่อนค่อยว่ากัน
เหตุการณ์ที่แสนกดดันเมื่อครู่เรียกได้ว่ารุนแรงเกินไปปหน่อยสำหรับเด็กอย่างเธอ จนทำให้รีแอคชั่นที่ตอบสนองต่อความหวาดกลัวอันยิ่งยวดของเธอทำงานขึ้นมาโดยบังเอิญ
แม้จะวางท่าวางมาดขนาดไหน แต่จริงๆแล้วเธอก็เป็นแค่เด็กคนนึงเท่านั้น ย่อมไม่อาจทนรับแรงกดดันขนาดนั้นได้โดยไร้เรื่องราว
เธอมองดูพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ มองดูกางเกงที่ชุ่มโชกและเหม็นโฉ่ สารรูปที่น่าอดสูนี้ทำให้เธอแทบร้องไห้
น้ำที่ไหลจากตายังปาดออกได้ แต่น้ำที่ไหลมาจากในกางเกงนี่สิ จะทำยังไงดี ?
หากเป็นเด็กคนอื่นก็คงวิ่งออกไปโดยไม่คิดอะไรแล้ว เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในที่ๆน่ากลัวแบบนี้ต่อไปอีกแม้แต่อึดใจเดียว น่าเสียดายที่ทุกสิ่งที่คุณย่าพร่ำสอนมามันมีอำนาจเหนือกว่าความกลัวเหล่านั้น มันทำให้เธอไปไหนไม่ได้ในตอนนี้
เพราะเธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เป็นคนที่สวรรค์ประทานมา ดังนั้นต่อให้ตายก็ให้คนอื่นเห็นสารรูปที่น่าสมเพชนี้ไม่ได้ จะยอมถูกใครหัวเราะเยาะเป็นตัวตลกไม่ได้
ต่อหน้าคนอื่นแล้วเธอต้องมีมาดที่ดูดีอยู่เสมอ ต้องวางตัวให้อยู่สูงกว่าใครๆตามที่คุณย่าสั่งสอนมา
ต้องเก๊กเอาไว้ก่อน ย่าสอนไว้
-------------------- จบ --------------------
ผลงานอื่นๆ ของ หน้ากากตั๊กแตน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ หน้ากากตั๊กแตน
ความคิดเห็น