เก๊กไว้ก่อนย่าสอนไว้ - เก๊กไว้ก่อนย่าสอนไว้ นิยาย เก๊กไว้ก่อนย่าสอนไว้ : Dek-D.com - Writer

    เก๊กไว้ก่อนย่าสอนไว้

    "คุณย่าพูดเอาไว้ว่า แม้จะเป็นเด็กก็ยังต้องเก๊กเข้าไว้ มันช่วยไม่ได้นี่ ก็ชั้นมันเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาให้กับโลกใบนี้นี่นา"

    ผู้เข้าชมรวม

    248

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    248

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ย. 52 / 02:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                     ดวงตะวันสาดแสง  ฟ้าสีครามไร้ซึ่งเมฆหมอก  อากาศในวันนี้นับว่าสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆในรอบเดือน  อาจบางทีเป็นเพราะไต้ฟ้าผืนนี้มีใครบางคนอยู่
                     คนที่ไม่เหมือนใคร  คนที่เกิดมาเพื่อยืนอยู่ไต้ฟ้าคราม
                     เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินอยู่บนฟุตบาทข้างถนน  ดูไปแม้จะเห็นเป็นแค่เด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบธรรมดา  แต่หากมองดูให้ดีๆ  กลับไม่คล้ายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาตามอายุสักเท่าไร
                     เธออยู่ในชุดสีขาวสลับฟ้า  สวมหมวกปีกมีลวดลายดอกไม้  บนตัวหมวกยังประดับไว้ด้วยลูกท้อผ้าอีกลูกหนึ่ง 
                     บนใบหน้าที่กลมเกลี้ยงไร้ริ้วรอยของเธอไม่มีแววซุนซนของเด็กน้อย  กลับมีท่าทีสงบสำรวมเช่นเดียวกับผู้ใหญ่เจนโลก  ใบมือก็ไม่ได้ถือตุ๊กตาดังเช่นเด็กหญิงทั่วไป  แต่กลับถือถุงใส่น้ำเต้าหู้เพื่อสุขภาพแทน  ดูๆไปกลับมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่ซะยิ่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปซะอีก
                     เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เหมือนเด็กธรรมดา  เพราะว่าเธอไม่ใช่เด็กธรรมดาที่หาได้ตามร้านเซเว่น  แต่เป็นเด็กที่สวรรค์ประทานลงมายังโลกมนุษย์
                     แม้บนถนนจะมีเงามืด  แต่เธอจะเดินกลางแสงสว่างเสมอ  หรือต่อให้บนเส้นทางจะไร้แสงไฟ  เธอก็จะเปล่งแสงสว่างเช่นดวงตะวัน
                     นั่นล่ะคือตัวเธอ  เธอผู้ไม่เหมือนใคร  และไม่มีใครเหมือน
                         
                     ตอนที่เธอเดินมาถึงที่นี่  เป็นเวลาแปดโมงเช้า  เป็นยามเช้าที่แสนสดชื่น
                     ในยามเช้าที่สดชื่นเช่นนี้  เป็นช่วงเวลาอันแสนเหมาะสมกับรวมกลุ่มกันไปเล่นของเด็กๆทั่วไป  แน่นอนว่าเด็กๆทั่วไปนั้นไม่นับรวมถึงตัวเธอ
                     นั่นเพราะเธอนั้นไม่ธรรมดา  และไม่คิดจะทำอะไรตามตรรกกะของคนธรรมดา
                     แต่ในช่วงเวลาอันแสนสดใสนี้  เธอผู้ไม่ธรรมดา  ก็กลับต้องถูกลากเข้าไปยุ่งกับพวกคนธรรมดาจนได้
                    
                     "เฮ้ !!  เด็กหมวกตรงนั้นน่ะ  ระวังบอล !!"
                     เสียงร้องตะโกนของใครบางคนแว่วมา  พร้อมกับบอลลูกหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศมาพร้อมๆกัน  ต้นเสียงมาจากทุ่งโล่งข้างทาง  ลูกบอลก็มีจากเจ้าของเสียงนั่นเอง
                     ลูกบอลพุ่งมาจากข้างหลัง  บอลเป็นบอลยางราคาถูก  อาจบางทีไม่เร็วไม่แรงมากนัก  แต่ก็เพียงพอจะให้เด็กคนหนึ่งโดนซัดจนล้มกลิ้งได้เหลือเฟือ
                     หากเป็นเด็กทั่วๆไป  อาจบางทีจะตาตีตาเหลือรีบหลบอย่างลนลาน  อาจบางทีจะยืนตกใจจนโดนบอลอัดร้องไห้จ้า  แต่กับเธอแล้วย่อมผิดกัน
                     เธอไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง  ไม่ได้รีบร้อนตื่นตกใจ  แม้กระทั่งหากตายังไม่กระตุก  เพียงแค่นับเลขพึมพัมอยู่ในลำคอนิดเดียวเท่านั้น
                     เธอนับหนึ่ง สอง สาม จับจังหวะที่ลูกบอลจะพุ่งมาถึง  จากนั้นก็เตะกลับหลังอย่างว่องไว  เสียงตูมดังขึ้นรอบหนึ่งลูกบอลที่ถูกเตะใส่อย่างเต็มเหนี่ยวก็ลอยละลิ่วย้อนกลับไปในทิศทางเดิม  จากนั้นเป็นเสียงโครม  เมื่อลูกบอลที่ควรจะกลับไปหาเจ้าของกลับลอยละลิ่วเลยไปจนพุ่งทะลุกระจกเข้าไปในบ้านร้างที่ด้านหลังแทน
                    
                     "อ๊าาาา !!  บอลของเค้า !!"
                     เจ้าของเสียงที่เคยร้องเตือนเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างโหยหวนด้วยความตกใจ  เมื่อเห็นลูกบอลของตัวเองหายจ้อยไปต่อหน้าต่อตา
                     "ทำอะไรของเธอน่ะ  บอลของเค้าหายไปแล้วเห็นมั้ย !?"
                     เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับกับเธอปราดเข้ามาโวยวายใส่ด้วยความขุ่นเคือง  จนกระทั่งเพื่อนคนอื่นต้องเข้ามาห้ามไว้เพราะจริงๆแล้วเธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิดเพราะดันเตะบอลซี้ซั้วไปใส่ชาวบ้าน  ซึ่งหากพูดกันตามตรงแล้วคนที่สมควรจะต้องโดนว่านั้นน่าจะเป็นเธอเองซะมากกว่า
                     เด็กหญิงหมวกลูกท้อมองไปทางบ้านร้าง  พูดเสียงเรียบๆว่า
                     "บอลมันก็แค่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเท่านั้นเอง"
                     เด็กหัวโจกจอมอาละวาดโวยวายขึ้นมาอีกว่า
                     "หายเข้าไปในบ้านนั่นก็เท่ากับหายไปแล้วนั่นแหละ  เธอไม่รู้จักเรื่องเล่าของบ้านนี้รึไงกัน"
                     "ไม่รู้"
                     ฟ้าตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ยังคงเป็นการพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย  ต่างกับฝ่ายตรงข้ามที่โกรธจนหน้าเปลี่ยนสี
                     "บ้านหลังนั้นน่ะเป็นบ้านร้างผีสิงนะ  เขาเล่ากันว่าเคยมีคนหลายคนทำของหายเข้าไปข้างใน  แล้วพอเข้าไปในบ้านร้างนั่นทั้งคนทั้งของก็ไม่มีอะไรได้กลับออกมาเลย  เขาว่ากันว่าทุกคนโดนผีพาไปซ่อนกันหมด  แบบนี้แล้วยังจะให้เข้าไปเอาบอลกลับมาอีกรึไง !!?"
                     เด็กหญิงหมวกลูกท้อยังตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำดังเดิมว่า  "ใช่"
                     "อย่ามาล้อเล่นนะ  คิดจะให้เค้าโดนผีลักซ่อนไปอีกคนนึงรึไง !!?"
                     "คุณย่าพูดเอาไว้ว่า  ในโลกนี้ไม่มีผีที่ทำร้ายคน  มีแต่คนที่ทำร้ายคน"
                     เด็กหัวโจกกระโดดปราดขึ้น  ร้องว่า 
                     "เพราะเธอไม่เคยเจอผีน่ะสิถึงพูดได้  ถ้าลองได้เจอซักครั้งรับรองต้องกลัวจนวิ่งหนีแน่ๆ"
                     "ชั้นไม่จำเป็นต้องกลัวของที่ไม่เคยเห็น"
                     เด็กหัวโจกยิ่งเห็นท่าทีไม่ยี่หระเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น  ชี้หน้าถามว่า
                     "เห็นทำท่าทางวางโตมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว  เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน !!?"
                     เด็กหญิงหมวกลูกท้อชี้นิ้วขึ้นฟ้า  กล่าวช้าๆว่า
                     "ฟ้าครามที่โอบล้อมโลกนี้ไว้ทั้งใบ  นั่นล่ะคือชื่อของชั้น !"
                    
      -------------------- =_= --------------------
                    
                    
                     ชื่อของเธอก็คือฟ้า  เป็นฟ้าครามที่ไร้เมฆดำ  เป็นฟ้าครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
                     ในโลกนี้มีคนมากมายหลายขนิด  ทั้งสูงต่ำดำขาว  โง่เขลาและชาญฉลาด  แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเช่นไร  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาๆที่หาได้ทั่วไปตามท้องถนน  หาได้มากมาย  และง่ายดายดั่งกรวดทรายตามริมทาง
                     แต่คนชนิดเดียวกับฟ้า  รับรองว่าหาได้ไม่ง่ายนัก
                     หากชนิดของผู้คนแบ่งได้เป็นสีต่างๆ  รับรองว่าสีของเธอจะแปลกประหลาดยิ่งกว่าใครๆ  หากมีคนถามว่านั่นเป็นสีอะไร  รับรองว่าคิดกันจนหัวแทบแตกก็คงหาคำตอบไม่ได้
                     เพราะสีของเธอนั้นไม่เหมือนกับสีของใครเลย
                    
                     "คุณย่าพูดเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดคือช้าง  สิ่งมีชีวิตที่องอาจที่สุดคือราชสีห์  ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหลือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็คือชั้นคนนี้นี่แหละ"
                     เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น  จนตอนนี้เด็กหัวโจกเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าไม่ว่าตัวอะไรจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม  แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมั่นในตัวเองที่สุดล่ะก็รับรองว่าต้องเป็นคนข้างหน้านี้ไม่ผิดแน่
                     คนที่เชื่อมั่นในตัวเองได้ถึงระดับนี้มีอยู่สองประเภท  ถ้าไม่ใช่ยอดคน  ก็คงแค่คนบ้าธรรมดา
                     แต่เธอคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นประเภทหลังมากกว่า
                    
                     "เธอจะบอกว่าตัวเองขนะได้แม้แต่ผีรึไง ?"
                     "ถ้าโลกนี้มีผีจริง  ชั้นก็จะอยู่เหนือกว่ามัน"
                     "ถ้างั้นก็พิสูจน์สิ  ถ้าเธอเจ๋งกว่าผีจริง  ก็ต้องเข้าไปเอาบบอลกลับมาได้  ถ้าทำได้จริงๆเค้าจะเลิกโกรธแล้วนับเธอเป็นเพื่อนเลยก็ได้เอ้า"
                     ฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
                     "การจะเป็นเพื่อนกันได้นั้นหมายถึงจะต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นชั้นก็คงหาเพื่อนไม่ได้หรอก  เพราะว่าในโลกนี้คงไม่มีใครอยู่ในระดับเดียวกับชั้นอีกแล้ว"
                     "แล้วก็แน่นอนว่าชั้นเองก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่เธอท้าด้วยเหมือนกัน"
                     เด็กหัวโจกถูกดูถูกกันซึ่งๆหน้าก็ตั้งท่าจะโวยวายเต็มที่  แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร  ฟ้าก็ชิงตัดบทขึ้นมาก่อนว่า
                     "แต่คุณย่าเคยพูดเอาไว้ว่าแสงตะวันย่อมสาดส่องไปยังทุกๆคนโดยเท่าเทียมกัน  เพราะงั้นถ้าเธอกำลังลำบากเพราะของสำคัญถูกชั้นทำให้หายไปล่ะก็  ชั้นจะช่วยเอากลับคืนมาให้ก็ได้"
                    
      -------------------- =_= --------------------
                    
                    
                     แม้ท้องฟ้าด้านนอกจะสดใส  แต่ข้างในนี้กลับมืดครึ้มไม่ต่างกับกลางคืน  บนพื้นทางเดินเต็มไปด้วยฝุ่นผงและเศษไม้  บนเพดานก็เต็มไปด้วยหยากไย่และแมงมุม  บรรยากาศที่มืดทะมึนและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้หากว่าจะมีผีโผล่ออกมาก็คงไม่แปลกซักเท่าไร
                     แต่สิ่งที่ฟ้าเป็นกังวลในเวลานี้ไม่ใช่ของแบบนั้น
                     ในบ้านร้างที่ไม่มีผู้คนมากล้ำกรายเป็นแรมปี  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด  เป็นภัยร้ายอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
                     เธอเดินอย่างเชื่องช้า  ทีละก้าว  ทีละก้าว  เธอรู้ดีว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ผี  แต่เป็นเศษไม้เศษตะปูตามพื้น  และสัตว์มีพิษที่อาจจะโผล่ออกมาได้ทุกเวลา
                     ตะปูขึ้นสนิมที่โผล่มาจากพื้น  แมงป่องตะขาบ  หรือแม้แต่งูที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ  อาจจะพุ่งเข้าทำร้ายได้ทุกเวลาหากเผลอไปเหยียบพวกมันเข้า  แต่ละก้าวที่เดินไปหากไม่ระวังก็อาจถึงชีวิตได้โดยง่าย  สำหรับความรู้เรื่องพวกนี้  คุณย่าได้พร่ำสอนเธอมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
                     ฟ้าเชื่อในคำสั่งสอนของคุณย่าเสมอ  ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้านั้นเป็นขุมพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ  หากคิดจะยืนอยู่เหนือใครๆแล้วแค่เพียงความสามารถที่ได้รับมาจากท้องแม่ยังไม่เพียงพอ  ยังจะต้องมีพลังขับเคลื่อนเช่นนี้อยู่ด้วย
                     คนที่มีความเชื่อมั่นย่อมเข้มแข็งกว่าใคร  นั่นเป็นหนึ่งในคำสั่งสอนของคุณย่า  และเป็นหนึ่งในสัจธรรมอันเที่ยงแท้นับแต่ครั้งโบราณกาล
                    
                     อากาศในนี้ไม่สู้ดีนัก  นอกจากกลิ่นของไม้ที่ขึ้นราแล้ว  ในอากาศยังคล้ายมีบรรยากาศอันชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ 
                     เธอรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้ด้วยสัญชาติญาณว่านั่นไม่ใช่ภูตผี  แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อันตราย  และน่าสะพรึงกลัว
                     บอลกะแทกหน้าต่างเข้าไปบนชั้นสอง  ระหว่างที่ขึ้นบันไดไป  เธอก็พบความความรู้สึกไม่ดีนั้นยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรง
                     อาจบางทีต้นตอของสิ่งชั่วร้ายนั้น  อาจจะอยู่ที่เดียวกับกับของที่เธอต้องการ
                     แล้วเด็กน้อยตัวเล็กๆคนหนึ่งจะเอาตัวรอดออกไปได้โดยปลอดภัยหรือ ?
                     สัญชาติญาณของเธอบอกถึงอันตราย  สมองของเธอก็เข้าใจได้ว่าหากจะออกไปโดยปลอดภัยแล้ว  รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้นับว่าดีที่สุด
                     แต่ขาของเธอก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า  บางสิ่งบางอย่างผลักดันให้เธอไม่อาจถอยหนี
                     บางสิ่งบางอย่างที่แสนสำคัญ
                    
                     ที่ชั้นสองมีห้องอยู่ไม่น้อย  บานประตูและกลอนของห้องส่วนใหญ่พังไปแล้ว  ดังนั้นเมื่อลมพัดมาทีหนึ่งประตูแต่ละบานก็ขยับไปมา  ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจนฟังดูน่าขนลุก 
                     ท่ามกลางเสียงอันไม่พึงประสงค์นั้น  มีหมอกจางๆสายหนึ่งลอยออกมาจากด้านในห้อง  หมอกควันนั้นเองคือที่มาของกลิ่นประหลาดที่เธอรู้สึกได้มาตั้งแแต่เมื่อครู่
                     เธอไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นจนต้องเสี่ยงอันตราย  เธอชาญฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำอันไร้หัวคิดแบบนั้น  แต่ช่างน่าเศร้าที่เธอพบว่าแม้จะไม่ต้องการ  แต่ก็ยังคงต้องเผชิญหน้ากับต้นตอของควันประหลาดนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
                     นั่นเพราะว่าลูกบอลที่เธอตามหา  มันดันเข้าไปอยู่ในห้องนั้นซะได้
                     บานประตูที่เปิดแง้มออกเพราะชำรุดเสียหาย  เผยให้เห็นลูกบอลยางที่นิ่งสงบอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง  รอคอยให้เธอมานำมันออกไป
                     เด็กน้อยข่มใจให้เข็มแข็ง  ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปตามช่องประตูที่เปิดอยู่  ด้วยความเชื่องช้าอย่างที่สุด  และระมัดระวังอย่างที่สุด  เผื่อว่าอย่างน้อยหากว่าในห้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริง  ความเงียบนี้ก็อาจจะช่วยอำพรางตัวเธอจากสิ่งนั้นได้บ้าง
                     แต่น่าเสียดายที่เธอไม่อาจสมหวัง
                    
                     ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าไปด้านใน  "มัน" ก็พบเห็นเธอ
                     "มัน" นั่งอยู่ตรงข้างบานกระจกที่แตกออกเพราะลูกบอล  นั่งอยู่ตรงมุมที่ไม่ถูกแสงแดด  คล้ายกับชิงชังรังเกียจแสงสว่างมาตั้งแต่เกิด
                     ร่างของมันซีดขาว  ผอมซูบและเหี่ยวแห้ง  หนวดเครารุงรัง  สวมเสื้อผ้าที่สกปรกและขาดวิ่น
                     ในมือที่แห้งกรังและสั่นเทาของมันมีวัตถุรูปทรงกระบอกที่กำลังพ่นควันสีขาวจางๆออกมาอย่างต่อเนื่อง  กลิ่นที่โชยออกมาชวนให้เธอเวียนหัวตาลายเล็กน้อย  นี่เองเป็นตัวตนที่แท้จริงของความรู้สึกอันตรายที่เธอสัมผัสได้มาตั้งแต่เมื่อครู่
                     มันเอากระบอกพ่นควันออกจากปาก  แล้วใช้ดวงตาที่ดำคล้ำและเลื่อนลอยจับจ้องมาที่เธออย่างไม่ประสงค์ดี
                     "แกเป็นใครวะไอ้หนู ?"
                     เสียงที่แหบแห้งของมันกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก  จากนั้นเมื่อมันเห็นลูกบอลในมือของเด็กน้อยก็ตวาดว่า
                     "หรือแกคิดจะมาแย่งสมบัติของข้า !!?"
                     "นั่นมันดวงดาวจำลองที่เทพเจ้ามังกรให้ข้ามานะโว้ย  บังอาจจะมาแย่งมันไปจากข้าเรอะไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม !!"
                     ฟ้ามองลูกบอลในมือ  มองแล้วมองอีกจนตาแทบถลนก็ยังเห็นมันเป็นแค่บอลยางธรรมดา  นี่มันเป็นดวงดาวจำลองตรงไหนกันหนอ ?
                     หรือว่าคนๆนี้พี้ยาจนเสียสติไปเสียแล้ว ?
                     เธอรู้วิธีรับมือกับคนหลากหลายประเภท  แต่ไม่รู้วิธีรับมือกับคนเสียสติ
                     คนเสียสติสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่อาจคาดเดา  ไม่อยู่ในกรอบเหตุผลและสามัญสำนึกของคนธรรมดา  ที่สำคัญคนชนิดนี้สามารถอ้างเหตุผลที่จะทำร้ายผู้อื่นได้ทุกเมื่อเหมือนกับหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก  หากจะกล่าวว่าเป็นคนชนิดที่อันตรายที่สุดก็คงจะไม่ผิดเท่าไหร่นัก
                     อาจบางทีนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆก็ได้
                    
                     คนติดยานั้นกระโดดปราดขึ้นมา  แต่คงเป็นเพราะนั่งอยู่นานเกินไปทำให้ขาอ่อนจนตัวเซ  แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าอันตรายอยู่ดี
                     เธอในตอนนี้ไม่มีทั้งอาวุธ  และพละกำลังพอที่จะต่อกรกับศัตรูเบื้องหน้า  ในสถานการณ์ที่คับขันอันตรายเช่นนี้หากเป็นในสนามรบ  ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่จะมีวิธีเอาตัวรอดได้อย่างไร
                     ซุนหวู่ผู้เลื่องชื่อในด้านการทำสงครามได้เขียนตำรากลยุทธ์ทั้ง 36 ที่ใช้พิชิตทุกสถานการณ์เอาไว้ในตำรา  เธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ควรจะเลือกใช้กลยุทธ์ใด
                     เธอเลือกที่จะใช้กลยุทธ์สุดท้าย  กลยุทธ์ 36
                     "หันหลัง  ตั้งหน้าวิ่ง"
                    
                     แม้พละกำลังในการต่อสู้จะมีน้อย  แต่พละกำลังในกาลเผ่นหนีของเธอนั้นมีเหลือเฟือ  ฟ้าวิ่งปราดออกจากห้องโดยไม่ต้องคิด  จากนั้นก็พุ่งย้อนไปในทิศเดียวกับขามา  ยังไงตอนนี้ก็หนีออกไปข้างนอกก่อน  แล้วมีอะไรก็ค่อยว่ากันไหม่ทีหลัง
                     "จะหนีไปไหนไอ้เด็กบ้า !!"
                     เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งไล่หลังมาอย่างกระชั้น  แม้จะผอมซูบบักโกรกแต่คนติดยาก็ยังไล่ตามเธอมาได้อย่างไม่ยากเย็น  ช่วงขาที่ต่างกันทำให้เธอหมดทางหนี  และตามมาด้วยเสียงโครมเมื่อกลางหลังของเธอถูกส้นเท้ากระแทกจนต้องล้มกลิ้งไปกับพื้น
                     ฟ้ากลิ้งไปกระแทกใส่ลังกระดาษ  นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่ลังกระดาษช่วยซับแรงกระแทกทำให้เธอไม่บาดเจ็บเท่าไรนัก  แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่เธออยู่ในภาวะคับขันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
                     "หรือว่าสวรรค์จะทอดทิ้งชั้นซะแล้ว"
                     เธอบ่นพึมพัมออกมาด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง
                     "หมดท่าแล้วสิเจ้าเปี๊ยก"
                     คนติดยาแสยะยิ้มพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาทีละน้อย
                     "อย่าเข้ามานะ  เห็นไอ้นี่รึเปล่า !!?"
                     ฟ้าหยิบท่อนไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมากวัดแกว่ง  ร้องเสียงดุดัน
                     "นี่คือดาบแสงศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่นักรบอวกาศใช้ปราบดาร์ธลอร์ดมาแล้วนะ  อย่างแกน่ะโดนฟันทีเดียวก็ไปเกิดใหม่แล้ว !!"
                     เธอไม่ได้กลัวจนเสียสติ  แต่เธอคิดว่าถ้าคนข้างหน้าพี้ยาจนเห็นภาพหลอนไปจริงๆ  บางทีอาจจะบ้าเชื่อเรื่องที่เธอพูดก็ได้  แม้เปอร์เซนจะน้อยแต่ก็เป็นหนทางเดียวที่พอจะทำให้รอดได้ในตอนนี้
                     นี่เป็นการพนันครั้งใหญ่ที่มีชีวิตของตัวเธอเองเป็นเดิมพัน
                     ชายติดยาผงะไปเล็กน้อย  ดูท่าว่าความคิดของเธอจะได้ผล  แต่ทว่ายังไม่ทันที่ฟ้าจะได้ดีใจ  ชายติดยาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วบอกว่า
                     "อย่าลำพองไปเลยไอ้หนู  ข้ามีร่างไร้เทียมทานที่ได้รับมาจากพรของเทพเจ้าอยู่นะ  ของแบบนั้นฟันข้าไม่เข้าหรอกโว้ย !!"
                     นั่นเป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง  ดังคำที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า  สูงกว่าดารายังมีดาวเทียม  ระดับความบ้าของคนๆนี้เหนือกว่าที่เธอจะจินตนาการได้  เธอไม่มีอะไรจะใช้สู้อีกแล้ว
                     "อย่านะ...  อย่าเข้ามานะ !!"
                     ฟ้าหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว  สองมือตวัดท่อนไม้ไปมาเหมือนคนจมน้ำที่พยายามตะเกียกตะกายหาที่ยึดจับอย่างสุดกำลัง  แม้ว่าจะไร้ประโยชน์ก็ตาม
                     ชายติดยาไม่สนใจทั้งท่อนไม้ทั้งเสียงร้องของเธอ  มันเงื้อมือออกแล้วกระโจนเข้าหาเธออย่างดุร้าย
                     "ไม่เอา  หนูไม่อยากตาย  คุณย่าช่วยด้วย !!!"
                     ในตอนนั้นไม่ทราบเป็นเพราะเสียงเธอส่งไปถึงคุณย่า  หรือว่าเป็นเพราะเธอไม่ถึงที่กันแน่  จู่ๆปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
                     ลูกบอลที่เธอทำหลุดมือตอนล้มลงกลิ้งไปอยู่ที่หน้าคนติดยาพอดี  และตัวมันที่มองแต่ด้านหน้าจนไม่ทันระวังก็เหยียบลูกบอลจนเสียหลักล้มลง  หัวกระแทกก้อนอิฐที่วางทิ้งอยู่บนพื้นเข้าอย่างจังดังโครม
                     คนติดยากุมหัวกลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด  เลือดสีแดงสดไหลซิบๆออกมาตามง่ามมือ  บ่งบอกว่ามันนั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
                     ฟ้าเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป  เธอพุ่งปราดเข้าหามันพร้อมท่อนไม้ในมือ  จากนั้นก็กระหน่ำฟาดลงไปที่หัวของชายติดยาอย่างไม่ปราณี
                     ชายติดยาที่ถูกทำร้ายนั้นโดนฟาดไปพลางก็ถอยหลังหนีไปพลาง  หากเป็นปกติมันคงไม่กลัวกับอีแค่โดนเด็กเอาไม้ฟาด  แต่เมื่อรวมกับบาดแผลที่หัวแล้วความเจ็บปวดนี้ก็นับว่าไม่น้อยเลย  มันเองก็ไม่อยากจะหนีเด็ก  แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่เห็นคนข้างหน้าเป็นเด็กตัวเล็ก  แต่ดันมองเห็นเป็นอัศวินในชุดผ้าคลุมถือดาบเลเซอร์ไปซะได้
                     "ไอ้เด็กบ้านี่  อย่าได้ใจให้มันมานักนะเว้ย !!"
                     มันตวาดพร้อมทั้งเงื้อหมัดขึ้น  กะว่าจะต่อยสวนเด็กน้อยให้ตายกันไปข้าง  แต่น่าเสียดายที่เด็กน้อยในตอนนี้ไม่มีความกลัวอยู่ในจิตใจอีกแล้ว
                     เด็กน้อยหลับหมัดที่ตุปัดตุเป๋ของมันพร้อมกับถอยไปข้างหลัง  แล้วก็นับก้าวการถอยของตัวเองไปด้วย
                     พอนับถึงสาม  เธอก็เอาท่อนไม้ขว้างใส่หน้ามันจนเสียหลัก  จากนั้นก็หลบฉากไปด้านข้าง
                     ด้านหน้าของคนติดยาในตอนนี้ไม่ใช่ทางโลก  แต่เป็นบันไดลงไปชั้นล่าง  ตัวมันที่พุ่งมาเต็มที่แม้จะหยุดเท้าได้พอดิบพอดี  แต่ก็ยืนอยู่แบบไม่มั่นคงที่สุดปลายทางพอดี  เรียกได้ว่าหากโดนสะกิดซักนิดในตอนนี้คงได้กลิ้งตกบันไดสลบแน่ๆ
                     ฟ้าไม่ได้สะกิดด้วยมือ  แต่สะกิดด้วยเท้า
                     เธอหมุนตัวรอบหนึ่งแล้วกระโดดเตะเข้าที่ก้านคอของคนติดยาอย่างแม่นยำ  แรงเตะของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม้จะไม่แรงนัก  แต่สำหรับตอนนี้  เพียงเท่านี้ก็เกินพอ
                     ฟ้ามองดูคนติดยาที่กลิ้งลงบันไดไปนอนแน่นิ่ง  เธอชี้นิ้วขึ้นฟ้า  ก่อนจะเอ่ยคำพูดประจำตัวออกมาอย่างผู้มีชัย
                     "คุณย่าพูดเอาไว้ว่าในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตเยอะแยะมากมาย  แต่สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่เหนือสรรพสิ่งเหล่านั้นก็คือชั้นคนนี้นี่แหละ !"
                    
      -------------------- =_= --------------------
                    
                    
                     ตอนที่ลูกบอลลอยออกมาจากชั้นสองของบ้านร้างนั้น  เด็กๆข้างนอกต่างก็แตกตื่นและยินดีกันยกใหญ่  แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าจะรอไปอีกนานขนาดไหนก็ยังไม่เห็นว่าเด็กอวดดีคนนั้นจะกลับออกมาเลย
                     ทุกคนพูดกันไปต่างๆนาๆ  ถึงกับมีบางคนบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คน  แต่เป็นเทพเจ้าที่จุติลงมาในโลกมนุษย์  แล้วตอนนี้ก็ได้บินกลับไปแล้ว
                     ไม่ว่าใครจะพูดกันยังไง  แต่ความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว
                     ความจริงนั้นก็คือฟ้ายังไม่ได้ไปไหน  แต่แอบอยู่ในบ้านหลังนั้น
                     ข้างนอกตอนนี้มีคนมากเกินไป  เธอไม่สามารถออกไปให้ทุกคนเห็นสารรูปในตอนนี้ได้  ถ้าจะออกไปยังไงก็ต้องรอให้เด็กพวกนั้นไปกันให้หมดซะก่อนค่อยว่ากัน
                     เหตุการณ์ที่แสนกดดันเมื่อครู่เรียกได้ว่ารุนแรงเกินไปปหน่อยสำหรับเด็กอย่างเธอ  จนทำให้รีแอคชั่นที่ตอบสนองต่อความหวาดกลัวอันยิ่งยวดของเธอทำงานขึ้นมาโดยบังเอิญ
                     แม้จะวางท่าวางมาดขนาดไหน  แต่จริงๆแล้วเธอก็เป็นแค่เด็กคนนึงเท่านั้น  ย่อมไม่อาจทนรับแรงกดดันขนาดนั้นได้โดยไร้เรื่องราว
                     เธอมองดูพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ  มองดูกางเกงที่ชุ่มโชกและเหม็นโฉ่  สารรูปที่น่าอดสูนี้ทำให้เธอแทบร้องไห้
                     น้ำที่ไหลจากตายังปาดออกได้  แต่น้ำที่ไหลมาจากในกางเกงนี่สิ  จะทำยังไงดี ?
                     หากเป็นเด็กคนอื่นก็คงวิ่งออกไปโดยไม่คิดอะไรแล้ว  เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในที่ๆน่ากลัวแบบนี้ต่อไปอีกแม้แต่อึดใจเดียว  น่าเสียดายที่ทุกสิ่งที่คุณย่าพร่ำสอนมามันมีอำนาจเหนือกว่าความกลัวเหล่านั้น  มันทำให้เธอไปไหนไม่ได้ในตอนนี้
                     เพราะเธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ  เป็นคนที่สวรรค์ประทานมา ดังนั้นต่อให้ตายก็ให้คนอื่นเห็นสารรูปที่น่าสมเพชนี้ไม่ได้  จะยอมถูกใครหัวเราะเยาะเป็นตัวตลกไม่ได้ 
                     ต่อหน้าคนอื่นแล้วเธอต้องมีมาดที่ดูดีอยู่เสมอ  ต้องวางตัวให้อยู่สูงกว่าใครๆตามที่คุณย่าสั่งสอนมา
                     ต้องเก๊กเอาไว้ก่อน  ย่าสอนไว้
                    
      -------------------- จบ --------------------

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×